คำถาม: หลายคนจะมีคำถามตามมาเมื่อมีเงินโบนัสออก หรือมีรายได้เพิ่มขึ้น ว่าควรจะโป๊ะเงินผ่อนค่างวดเพิ่มหรือไม่ และเมื่อไหร่
ตอบ: ถ้าจะให้ดีควรจ่ายค่างวดเกิน 3 ปีแรก เกือบทุกธนาคารจะกำหนดไว้ในตอนทำสัญญา
หลังจากเกิน 3 ปี ควรเริ่มโปะได้เลยลดดอกได้แน่นอน ตามหลักการทั่วไปมี 2 แบบดังนี้
มาอ่านรายละเอียดกัน
การคำนวณดอกเบี้ยผ่อนชำระบ้าน จะใช้วิธีลดต้น ลดดอกครับ
(ไม่เหมือนการผ่อนรถ ที่ไม่ลดต้น ลดดอก ดังนั้นหากเปรียบเทียบที่ยอดเงินกู้ที่เท่ากัน การผ่อนรถจะเสียเงินเป็นค่าดอกเบี้่ยมากกว่าการผ่อนบ้านมา ก)
ตัวอย่าง หากธนาคารกำหนดให้ชำระค่างวด 10,000 บาท ทุกเดือน แล้วคุณสามารถเพิ่มการจ่ายค่างวดเป็น 20,000 บาท/เดือน แทน
เงินส่วนที่เพิ่มอีก 10,000 บาท จะไปหักเงินต้นเต็มจำนวนโดยไม่มีการหักเป็นค่าดอกเบี้ยเลย
*ส่วน 10,000 บาทแรกก็จะเป็นการหักดอกเบี้ยปกติตามระบบของธนาคารครับ
หากคุณได้เลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงทีู่่ และเงินต้นยังคงสูงอยู่มาก แนะนำให้โป๊ะึทุกเดือน หรือโป๊ะเป็นก้อนใหญ่ๆ ทีเดียวครับ เพราะยิ่งคุณสามารถลดยอดเงินต้นได้มาก และเร็วเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึง คุณจะสามารถลดจำนวนเิงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยให้กับธนาคารไ ด้ และในทางกลับกันจะสามารถลดเงินต้นได้เพิ่มขึ้น
พร้อมกับคุณยังมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่อยู่ ซึ่งหมายถึง ดอกเบี้ยจะต่ำกว่าปกติอยู่ราว 2-2.5% (ส่วนใหญ่จะอยู่ราว 5-5.5% ขณะที่ MLR จะอยู่ราวๆ 7-7.5%) ดังนั้นเงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยยังไม่สูงมาก แต่สามารถลดเงินต้นได้เพิ่มขึ้น และเมื่อหมดช่วงอัตราดอกเบี้ยคงที่แล้ว เงินต้นก็จะลดลงไปได้มากในระดับนึง
อีกกรณี หากคุณเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวไว้ และเงินต้นยังคงสูงอยู่มาก แนะนำให้โป๊ะเช่นกันเมื่อโอกาสอำนวย ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้างต้น หากจ่ายเพิ่มก็จะได้หักเงินต้นมากขึ้น ทำให้ลดภาระในการจ่ายดอกเบี้ยลดลงได้
หมายเหตุ การโปีะค่างวด ควรศึกษาสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับทางธนาคารให้ดี เพราะบางธนาคารจะไม่สามารถให้โป๊ะได้ หรือ บางธนาคารให้โป๊ะได้แต่ห้ามเกิน 2 เท่าของค่างวดที่ทางธนาคารกำหนด หรือ บางธนาคารให้โป๊ะได้ไม่จำกัด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในช่วง 3 ปีแรกหลังจากทำสัญญาเงินกู้กับทางธนาคาร เกือบทุกธนาคารจะมีค่าธรรมเนียม หรือ ค่าปรับ หากปิดบัญชีก่อน 3 ปี (จ่ายเงินกู้หมดก่อน 3 ปี) ต้องระวังเรื่องนี้ มิฉะนั้นต้องเสียค่าธรรมเนียมมากพอสมควร (ธนาคารทุกธนาคารก็หวังจะได้กำไรจากดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ไปท ั้งนั้นครับ) เพียงแต่เราจะต้องบริหารจัดการเงินของเราให้เป็นเพื่อที่จ ะได้ประหยัดเงินที่ต้องจ่ายไปเป็นดอกเบี้่ยให้กับธนาคารให ้น้อยที่สุด
ตอบ: ถ้าจะให้ดีควรจ่ายค่างวดเกิน 3 ปีแรก เกือบทุกธนาคารจะกำหนดไว้ในตอนทำสัญญา
หลังจากเกิน 3 ปี ควรเริ่มโปะได้เลยลดดอกได้แน่นอน ตามหลักการทั่วไปมี 2 แบบดังนี้
- โปะทุกเดือน กล่าวคือจ่ายเกินยอดเงินงวดที่ธนาคารกำหนด เช่น งวดละ 10,000 บาท เราก็จ่าย 15,000 บาท ส่วนที่เกิน 5,000 จะไปลดเงินต้นตามระบบอัตโนมัติ ในเดือนถัดไปท่านก็จะได้จ่ายดอกน้อยลงนั้นเอง
- โปะปีละครั้ง จะช่วยลดดอกเบี้ยได้
มาอ่านรายละเอียดกัน
การคำนวณดอกเบี้ยผ่อนชำระบ้าน จะใช้วิธีลดต้น ลดดอกครับ
(ไม่เหมือนการผ่อนรถ ที่ไม่ลดต้น ลดดอก ดังนั้นหากเปรียบเทียบที่ยอดเงินกู้ที่เท่ากัน การผ่อนรถจะเสียเงินเป็นค่าดอกเบี้่ยมากกว่าการผ่อนบ้านมา ก)
ตัวอย่าง หากธนาคารกำหนดให้ชำระค่างวด 10,000 บาท ทุกเดือน แล้วคุณสามารถเพิ่มการจ่ายค่างวดเป็น 20,000 บาท/เดือน แทน
เงินส่วนที่เพิ่มอีก 10,000 บาท จะไปหักเงินต้นเต็มจำนวนโดยไม่มีการหักเป็นค่าดอกเบี้ยเลย
*ส่วน 10,000 บาทแรกก็จะเป็นการหักดอกเบี้ยปกติตามระบบของธนาคารครับ
หากคุณได้เลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงทีู่่ และเงินต้นยังคงสูงอยู่มาก แนะนำให้โป๊ะึทุกเดือน หรือโป๊ะเป็นก้อนใหญ่ๆ ทีเดียวครับ เพราะยิ่งคุณสามารถลดยอดเงินต้นได้มาก และเร็วเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึง คุณจะสามารถลดจำนวนเิงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยให้กับธนาคารไ ด้ และในทางกลับกันจะสามารถลดเงินต้นได้เพิ่มขึ้น
พร้อมกับคุณยังมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่อยู่ ซึ่งหมายถึง ดอกเบี้ยจะต่ำกว่าปกติอยู่ราว 2-2.5% (ส่วนใหญ่จะอยู่ราว 5-5.5% ขณะที่ MLR จะอยู่ราวๆ 7-7.5%) ดังนั้นเงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยยังไม่สูงมาก แต่สามารถลดเงินต้นได้เพิ่มขึ้น และเมื่อหมดช่วงอัตราดอกเบี้ยคงที่แล้ว เงินต้นก็จะลดลงไปได้มากในระดับนึง
อีกกรณี หากคุณเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวไว้ และเงินต้นยังคงสูงอยู่มาก แนะนำให้โป๊ะเช่นกันเมื่อโอกาสอำนวย ด้วยเหตุผลเดียวกันกับข้างต้น หากจ่ายเพิ่มก็จะได้หักเงินต้นมากขึ้น ทำให้ลดภาระในการจ่ายดอกเบี้ยลดลงได้
หมายเหตุ การโปีะค่างวด ควรศึกษาสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับทางธนาคารให้ดี เพราะบางธนาคารจะไม่สามารถให้โป๊ะได้ หรือ บางธนาคารให้โป๊ะได้แต่ห้ามเกิน 2 เท่าของค่างวดที่ทางธนาคารกำหนด หรือ บางธนาคารให้โป๊ะได้ไม่จำกัด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในช่วง 3 ปีแรกหลังจากทำสัญญาเงินกู้กับทางธนาคาร เกือบทุกธนาคารจะมีค่าธรรมเนียม หรือ ค่าปรับ หากปิดบัญชีก่อน 3 ปี (จ่ายเงินกู้หมดก่อน 3 ปี) ต้องระวังเรื่องนี้ มิฉะนั้นต้องเสียค่าธรรมเนียมมากพอสมควร (ธนาคารทุกธนาคารก็หวังจะได้กำไรจากดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ไปท ั้งนั้นครับ) เพียงแต่เราจะต้องบริหารจัดการเงินของเราให้เป็นเพื่อที่จ ะได้ประหยัดเงินที่ต้องจ่ายไปเป็นดอกเบี้่ยให้กับธนาคารให ้น้อยที่สุด
อัพเดตล่าสุด 26 กุมภาพันธ์ 6:29 pm โดย บ้านน่าอยู่
- ·
- รายงาน
- ·
- 26 กุมภาพันธ์ 2017 6:27 pm
GMT +6 เวลาขณะนี้ 8:46 am