ลงทะเบียน
ใกล้กัน ช่วยให้คุณแชร์เรื่องราวต่างๆ กับผู้คนมากมาย

Microsoft Windows เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จักมากที่สุดทั่วโลก ซึ่งกว่าจะมาเป็น Windows นั้น Microsoft เคยสร้างระบบปฏิบัติการอื่นๆ ไว้ด้วย เช่น Altair BASIC ซึ่งมันก็มีส่วนที่ช่วยให้ Windows ได้กลายมาเป็นระบบปฏิบัติการที่เรารู้จักจนถึงทุกวันนี้

เพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ และเฉลิมฉลองที่ Windows 10 มีผู้ใช้มากกว่า Windows 7 แล้วในสหรัฐอเมริกาฯ วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จัก Microsoft Windows ตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนที่มันจะกลายมาเป็น Windows 10 ในปัจจุบัน จะผ่านร้อนผ่านหนาวอะไรมาบ้าง ใครเกิดทันรุ่นไหนบ้าง ไปดูกันเลย

1. MS-DOS (1981)

 

ผมจะขอข้าม Altair BASIC มาอยู่ที่ MS-DOS ซึ่งเป็นการเปิดประวัติศาสตร์ระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่อ งคอมพิวเตอร์ PC โดย MS-DOS เดิมใช้ชื่อว่า 86-DOS สร้างขึ้นโดย Tim Paterson จาก Seattle Computer Products ซึ่งมันโคลนมาจาก CP/M OS ของ Digital Research อีกที แต่ 86-DOS ได้เพิ่มความเข้ากันได้กับซีพียู x86 และใช้ระบบไฟล์แบบ FAT12

ต่อมา Microsoft ได้ซื้อ 86-DOS และนาย Paterson มาพัฒนาระบบให้ต่อ แล้วเปลี่ยนชื่อระบบปฏิบัติการเป็น MS-DOS จากนั้นมันถูกขายให้กับ IBM ในชื่อ PC-DOS ซึ่งก็เป็นความฉลาดของ Microsoft ที่เข้าหาบริษัทยักษ์ใหญ่ในสมัยนั้น ทำให้ MS-DOS กลายเป็นระบบปฏิบัติการที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว

2. Windows 1.0 (1985)

จากนั้นไม่นาน Microsoft ได้นำระบบติดต่อผู้ใช้แบบกราฟิก หรือ GUI เข้ามาครอบทับ MS-DOS ทำให้เกิดเป็นภาพกราฟิกสวยงามแทนที่จะเป็นจอดำๆ อย่างไรก็ตาม โปรแกรมภายใน Windows 1.0 จะทำงานภายใต้การควบคุมของ MS-DOS เทคโนโลยีเด่นที่มีอยู่ใน Windows 1.0 คือ Virtual memory ที่สามารถดึงพื้นที่ส่วนหนึ่งบนฮาร์ดดิสก์ มาใช้เสมือนเป็นแรมของระบบ แม้มันจะทำงานได้ช้ากว่าแรมจริงๆ แต่ก็ช่วยให้ระบบสามารถรันโปรแกรมขนาดใหญ่ได้

3. Windows 2.0 (1987)

Windows 2.0 ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากรุ่น 1.0 โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ระบบสามารถทำงานได้ดีขึ้น และยังความสามารถในการจัดน้าต่างของโปรแกรม ให้วางซ้อนๆ กันได้ (Windows overlap) เพื่อให้้ผู้ใช้งานสามารถทำงานแบบ Multitasking ได้ดี โดยได้ใช้พื้นที่ของเดสก์ทอปได้เต็มที่ครับ

**ถ้าผมจำไม่ผิด ที่เคยอ่านประวัติแบบเต็ม ตอนนั้น Microsoft น่าจะมีปัญหากับ Apple โดยทางค่ายผลไม้เขาไม่ยอมให้หน้าต่างโปรแกรมใน Windows ทำการ Minimize ได้ ไม่งั้นจะถือว่าผิดลิขสิทธิ์ แต่ภายหลังไม่รู้เป็นมายังไง ก็สามารถทำการ Minimize ได้ในระบบปฏิบัติการรุ่นถัดไป**

4. Windows 2.1(1988)

 

ไม่นานก็ได้มีการปรับปรุงกันอีกครั้ง กับ Windows 2.1 โดยเพิ่มการรองรับซีพียู Intel 80286 และ 80386 พร้อมด้วย HIMEM.sys ซึ่งเป็นฟังก์ชันหนึ่งของระบบที่ช่วยให้ Windows สามารถเข้าถึงหน่วยความจำขนาดใหญ่ได้ดีกว่ารุ่นก่อน นอกจากนี้รองรับ Protect mode ใน Intel 80386 ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมพร้อมกันได้ (ก่อนหน้าที่ไม่มี Protect mode โปรแกรมที่ไม่ถูกใช้งานในขณะนั้น จะเหมือนถูกปิดไว้ ไม่มีโปรเซสใดๆ เกิดขึ้น)

และที่สำคัญที่สุดคือ Windows 2.1 เป็นระบบปฏิบัติการตัวแรกของ Microsoft ที่ต้องใช้ฮาร์ดดิสก์ในการติดตั้งครับ (รุ่นก่อนหน้า น่าจะเป็นการรันผ่านแผ่นดิสก์เก็ต) Windows 2.1 (1988)

5. Windows 3.0 (1990)

 

Windows 3.0 มีการปรับปรุงเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้า แต่ยังมีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ ส่วน ที่แตกต่างกันก็จะเป็นเรื่องของการรองรับสีถึง 16 สี ใน VGA mode ระบบปฏิบัติการสามารถเรนเดอร์ภาพได้ 256 สีในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมีการปรับปรุง Protect mode ให้ระบบปฏิบัติการสามารถเข้าถึงหน่วยความจำได้มากขึ้น ซึ่งทำให้มันรองรับแรมได้สูงถึง 16 MB ส่วนตัวระบบปฏิบัติการเองจะกินเนื้อในฮาร์ดดิสก์ไป 5 MB

การเดินเกมทางการตลาดของ Microsoft ถือว่าทำได้ดีมาก โดยมีการติดตั้ง Windows 3.0 ไว้กับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายย่อย แล้วขายเป็นแบบ OEM ผู้ใชงานเลยนิยมกัน เนื่องจากซื้อคอมไปแล้วก็ได้ระบบปฏิบัติการไปด้วย ทำให้มันถูกขายไปกว่า 1 ล้านก๊อปปี้เลยทีเดียว

และนี่คือ Windows ตัวแรกที่มีเกม Solitaire

6. Windows 3.1(1992)

 

การปรับปรุงครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ Windows 3.1 โดยมีการปรับปรุงอยู่ด้วยกัน 3 อย่างคือ อย่างแรก Windows 3.1 จะสนับสนุนซีพียู Intel 80286 หรือใหม่กว่าเท่านั้น ซึ่งช่วยให้ระบบปฏิบัติการมีความเสถียรมากขึ้น สองคือการรองรับ Truetype font ซึ่งทำให้ Windows 3.1 เหมาะแก่การทำงานออฟฟิศมากขึ้น " เรื่องฟอนต์นี่ก็เป็นปัญหาระหว่าง  Apple กับ Microsoft เหมือนกันนะ "  และสามคือระบบปฏิบัติการรองรับแรมสูงสุด 4 GB โดยโปรแรกมแต่ละโปรแกรมสามารถใช้แรมได้สูงสุด 16 MB ส่วนตัวระบบปฏิบัติการเองต้องการแรมอย่างน้อย 1 MB และใช้พื้นที่ติดตั้ง 15 MB

นอกจากนี้ Windows 3.1 ยังมีรุ่นย่อยๆ เพิ่มเติม เช่น Windows for Workgroups 3.1 และ Windows 3.1 Multimedia PC เพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะนั่นเอง

7. Windows 95 (1995) ตอนที่ 1

ในช่วงแรก Microsoft ต้องการที่จะสร้างระบบปฏิบัติการที่ใช้พื้นฐานของ Windows NT โดยตอบสนองทั้งกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป และกลุ่มธุรกิจ โดยตั้งชื่อมันว่า Windows Cairo แล้วให้ Windows 3.1 ครองตำแหน่งระบบปฏิบัติการสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป " ระดับล่างๆ หน่อย " ที่ยังต้องใช้ฐานเป็น DOS ทว่าการพัฒนา Cairo ทำได้ล่าช้า เพราะฉะนั้นจึงได้มีการสร้าง Windows 95 เพื่อแข่งขันกับ Apple และ IBM

8. Windows 95 (1995) ตอนที่ 2

จุดประสงค์ในการสร้าง Windows 95 คือการสร้างระบบปฏิบัติการที่ง่ายต่อการใช้งาน และรองรับซอฟต์แวร์แบบ 32-bit ในตอนแรก Microsoft คิดว่าจะไม่เปลี่ยนรูปแบบอินเตอร์เฟสของ Windows 95 " กะจะเก็บไว้ใช้กับ Cairo " แต่สุด้ายก็มีการนำ UI จาก Cairo มาใส่ไว้ใน Windows 95 ทำให้มันเป็น Windows รุ่นแรกที่มี Start bar และ Windows Explorer

จริงๆ แล้ว Windows 95 ยังคงมีพื้นฐานการพัฒนาจาก DOS เหมือน Windows 3.1 เพียงแต่ในทางเทคนิคแล้วมันไม่ต้องพึ่งพา DOS " ถ้าใครได้ลองใช้ Windows 3.1 และ 95 จะรู้ว่าตรงนี้มันต่างกัน " ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันช่วยลดปัญหาระบบล่มได้ดีเลยครับ

ประสิทธิภาพของ Windows 95 ถือว่าก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก จากการรองรับซอฟต์แวร์แบบ 32-bit รวมถึงสามารถทำงานร่วมกับซีพียูที่มีความเร็วมากขึ้นได้ด ีเยี่ยม แถมยังไม่กินสเปคมากเหมือนฝั่ง Windows NT ด้วย

สุดท้ายโปรเจค Cairo ก็ล่มไป แต่โค้ดของมันก็ถูกนำมาใช้ในระบบปฏิบัติการรุ่นต่อๆ ไป

 

9. Windows NT 4.0 (1996)

แม้อินเตอร์เฟสของมันจะคล้ายๆ กับ Windows 95 แต่ Windows NT 4.0 มีการใช้งานที่ค่อนข้างซับซ้อน เหมาะแก่การใช้งานกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์มากกว่า และมันก็ล่มน้อยกว่า Windows 95 ด้วย อย่างไรก็ตามระบบปฏิบัติการรุ่นนี้ ไม่สนับสนุนฟังก์ชัน Plug and Play และ Device Manager รวมถึงความต้องการระบบก็มากกว่าทาง Windows 95 จึงไม่มีใครนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วไปแน่นอน

10. Windows 98 (1998)

 

Windows 98 คือการปรับปรุงครั้งใหญ่จาก Windows 95 ในช่วงนั้นอินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทในการใช้งานคอม พิวเตอร์ Windows 98 จึงมีโปรแกรมมากมายที่สนับสนุนนการใช้งานอินเทอร์เน็ต และเป็น Windows รุ่นแรกที่มาพร้อมกับ Internet Explorer ในตำนาน

Microsoft ต้องการให้ Windows 98 มีเสถียรภาพมากกว่ารุ่นก่อน จึงได้มีการเพิ่มโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบม าให้ ซึ่งช่วยให้มันล่มน้อยลง

จากการเปิดตัวของทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการ ทั้งรุ่น 95 และ 98 ทำให้ Windows ขึ้นแท่นเป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลกอย่ างรวดเร็ว

11. Windows 98 SE (1999)

 

จากนั้นไม่นาน Microsoft ก็ได้ออกรุ่นปรับปรุง เพื่อแก้ไขบั๊กต่างๆ นั่นคือ Windows 98 SE รวมถึงการเพิ่มโปรแกรมทางด้านมัลติมีเดียคู่บุญอย่าง Windows Media Player และมีการอัพเกรด Internet explorer และ DirectX เป็นเวอร์ชัน 6.1 ด้วย

Windows 98 SE ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการพื้นฐาน DOS ที่ดีที่สุดของ Microsoft แม้ปัจจุบันจะไม่มีการสนับสนุนนจากบริษัทแม่ แต่ยังมีผู้ใช้งานที่ชื่นชอบ ยังคงออกตัวปรับปรุงประสิทธิภาพให้อยู่

12. Windows 2000 (1999)

 

2 สัปดาห์ก่อนถึงปี 2000 Microsoft ได้เปิดตัว Windows 2000 โดยเน้นทางด้านการทำงานเซิร์ฟเวอร์ แต่ฟีเจอร์ที่มีใน Windows 98 ก็ยังมาอยู่ใน Windows 2000 ด้วยนะ

Windows 2000 ได้เพิ่มระบบความปลอดภัยมากขึ้น และมีรองรับการเล่นเกมที่ดีขึ้นกว่า NT 4.0 อย่างไรก็ตาม มันก็ยังเหมาะกับการใช้งานในเครื่องเซิร์ฟเวอร์อยู่ดี เพราะมันกินสเปคค่อนข้างสูงกว่า Windows 98 "แม้จะพยายามปรับให้มันกินสเปคน้อยลง และสมเหตุสมผลกว่า NT 4.0"

13. Windows Millennium Edition (2000)

 

Windows ME เป็นระบบปฏิบัติการพื้นฐาน DOS ตัวสุดท้ายของ Microsoft ซึ่งทางบริษัท ได้จำกัดการเข้าใช้งาน DOS-mode ในระบบปฏิบัติการ เพื่อเหตุผลทางด้านความเสถียรในการใช้งาน

ทว่านี้ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งของ Windows ME เนื่องจากมีหลายโปรแกรมที่ต้องใช้งาน DOS ส่งผลให้โปรแรกมเหล่านั้นไม่สามารถทำงานได้ หรือไม่สมบูรณ์

ผมเพิ่มเติมให้อีกเล็กน้อย สาเหตุที่ Windows ME น่าจะได้รับความนิยมน้อยอีกอย่างหนึ่งคือ ปัญหาในเรื่องไดรเวอร์ แม้ว่ามันจะมีพื้นฐานจาก Windows 98 แต่กลับเปลี่ยนไปใช้โครงสร้างไดรเวอร์เหมือน Windows 2000 ส่งผลให้การทำงานไดรเวอร์ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

14. Windows XP (2001)

 

คิดว่าน่าจะพอรู้จัก Windows XP กันเกือบทั้งหมด มันเปิดตัวในเดือนสิงหาคม ปี 2001 โดย Microsoft ได้พัฒนาระบบด้วยพื้นฐาน NT และให้มันเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้งานได้ทั้งผู้ใช้ทั่วไ ป และกลุ่มธุรกิจ "แต่ไม่มีโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการทำเซิร์ฟเวอร์ติดมาให ้นะ ถ้าจะใช้เซิร์ฟเวอร์จริงจัง ต้องใช้ Windows Server"

Windows XP มีความเสถียรมากกว่ารุ่นก่อนๆ มาก มีการทำงานที่รวดเร็ว พร้อมกับหน้าตาการใช้งานที่เรียบง่าย อีกทั้งยังรองรับฮาร์ดแวร์มากมาย พูดได้เลยว่า มันคือหนึ่งในระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดของ Microsoft แม้จะเปิดตัวมานานแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังเห็นว่ามีคนใช้กันอยู่บ้าง

15. Windows XP 64-bit Edition (2002)

แม้ Windows XP จะเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32-bit แต่ Microsoft ก็ยังออกรุ่น 64-bit มาให้ด้วย เพื่อรองรับเฉพาะ Intel Itanium ซึ่งแน่นอนว่าทำให้มันไม่ได้ไปต่อ เพราะมันรองรับซีพียูได้น้อยเกิน

16. Windows XP Professional x64 Edition (2005)

จากข้อผิดพลาดของรุ่นเดิม Microsoft จึงได้ปรับปรุงให้ Windows XP Professional x64 Edition สามารถรองรับซีพียูทั้งรุ่น 32-bit และ 64-bit  ทั้ง Intel และ AMD ซึ่งมันก็ได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามในยุคนั้นยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้โปรแ กรมหรือซีพียู 64-bit จึงมีการนำไปใช้งานเฉพาะกลุ่มเท่านั้น

17. Windows Vista (2006)

 

หลังจาก Windows XP ครองตำแหน่งมาได้หลายปี ในปี 2006 Microsoft ได้เปิดตัว Windows Vista โดยมีการปรับปรุงในเรื่องของอินเตอร์เฟสให้สวยงามมากขึ้น พร้อมกับระบบความปลอดภัยให้กับ Windows Vista แต่มันคือจุดที่เป็นข้อครหาให้กับ Windows Vista นั่นเอง

เนื่องจากการต้องการความปลอดภัยสูง โปรแกรมที่รันบน Windows Vista จะอยู่ในโหมดที่ไม่ใช่ Administrator ทำให้การทำงานของโปรแกรมอาจไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร และเมื่อมีการปรับแต่งการตั้งค่าอะไร จะต้องถามถึงการเข้าใช้งานในส่วน Administrator ตลอด

นอกจากนี้ ในช่วงนั้นคอมพิวเตอร์ยังติดอยู่สเปคเดิมของ Windows XP ทำให้คอมสเปคเดิมๆ ไม่สามารถรัน Windows Vista ได้อย่างดีเท่าไรนัก จริงๆ มันไม่ได้ผิดที่ตัวระบบปฏิบัติการนะ แต่มันต้องการคอมแรงๆ ไว้รันเท่านั้นเอง ซึ่งในสมัยนั้นมันถือว่าเป็นสเปคที่สูงพอสมควร ผลสุดท้ายคือ Windows Vista ก็แห้วไป ไม่ได้ดังเท่า Windows XP

18. Windows 7 (2009)

 

จากข้อผิดพลาดของ Windows Vista ได้มีการปรับปรุงใหม่ใน Windows 7 ซึ่งออกตามหลังมาถึง 3 ปี " ในช่วงนั้นก็เลยยังใช้ Windows XP กันอยู่ " ซึ่ง Microsoft ก็ยังเน้นในเรื่องความปลอดภัย แต่ลดข้อจำกัดบางอย่างลงบ้าง โดยโปรแกรมหลายๆ อย่างก็ยังมีการถามถึงการเข้าใช้ในส่วน Administrator แต่ประสิทธิภาพในการทำงานของมันกลับสูงขึ้นกว่า Windows Vista เยอะเลยทีเดียว " ส่วนหนึ่งมาจาก Windows 7 รองรับคำสั่ง AVX ในซีพียูรุ่นใหม่ด้วยนั่นเอง "

Windows 7 เป็นระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับสองรองจา ก Windows XP ด้วยประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีเยี่ยม ทำให้ต่อมามันมีผู้ใช้งานมากกว่า Windows XP เป็นที่เรียบร้อย " มาจากการผลักดันจาก Microsoft ด้วยแหละ " 

19. Windows 8 (2012)

 

Microsoft เริ่มเข้าสู่ตลาดการแข่งขันระบบปฏิบัติการ ทั้งเครื่องเดสก์ทอป และอุปกรณ์พกพา โดยเฉพาะกลุ่มแทบเล็ต Windows 8 จึงมีอินเตอร์เฟสที่แตกต่างไปจาก Windows รุ่นก่อนๆ โดยสิ้นเชิง เมื่อเปิดคอมขึ้นมา จะพบกับหน้าจอที่เรียกว่า Metro UI ซึ่งมีตารางโปรแกรมและแอพลิเคชันเรียงกันเป็นตับ

สำหรับกลุ่มที่ใช้งานในแทบเล็ตพบว่ามันช่วยให้ใช้งานได้ง่ ายขึ้น แต่ในกลุ่มเดสก์ทอป มันกลับเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก โดยเฉพาะการทำงานแบบ Multitasking เพราะฉะนั้น Windows 8 ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

20. Windows 8.1 (2013)

ต่อมา Microsoft ได้ปล่อยตัวอัพเดต Windows 8.1 ให้ผู้ใช้งาน Windows 8 ได้อัพเดตไปใช้กันฟรีๆ โดยมีการปรับปรุงส่วนสำคัญจาก Windows 8 เดิม นั่นคือการนำ Start bar กลับมา อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สามารถทำลายสถิติของ Windows 7 ได้

21. Windows 10 (2015)

และสุดท้าย กับระบบปฏิบัติการล่าสุดอย่าง Windows 10 ที่ได้นำ Start bar กลับมาใช้งานอย่างเต็มที่ ผสมผสานกับ Metro UI ซึ่งแฝงอยู่ในส่วนของ Start menu พร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Cortana เปรียบเสมือนผู้ช่วยใน Windows 10 สามารถใช้งานการสั่งการด้วยเสียง และรองรับการทำงานร่วมกับโปรแกรมอีกมากมาย

นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนจาก Internet Explorer เป็น Microsoft Edge ซึ่งมันก็ทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมพอสมควรเลย

อย่างไรก็ตาม มีข้อถกเถียงกันถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวใน Windows 10 เนื่องจากมีผู้ใช้งานพบว่า ระบบปฏิบัติการจะรวบรวมข้อมูลการใช้งาน แล้วส่งไปให้ Microsoft ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปทำอะไร คิดในแง่ดีไว้ว่าเอาไปปรับปรุงเรื่องการให้บริการ และประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการ

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับประวัติของระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows ใครทันใช้รุ่นไหนกันบ้าง

ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก | Extremepc.in.th

Captcha Challenge
ลองรูปภาพใหม่
Type in the verification code above